วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สนามจริง ไม่เหมือนห้องสี่เหลี่ยม

อย่างแรกเลย ผมต้อขอออกตัวก่อนว่า นี่ไม่ใช่บทความทั่วไป แต่จะเป็นบทความ
ที่เล่าเรื่องราว การเดินทางบนถนน ที่ผมเดินมา ซึ่งก็คือ "เส้นทางเถ้าแก่ไอที"

ก่อนลาออก...
นานมาแล้ว ตอนที่ผมทำงานประจำอยู่ ผมเบื่อหน่ายในงานมาก ทำงานแต่เช้า
กลับค่ำมืด เขียนโปรแกรมทั้งวัน บางทีต้องเอากลับมาเขียนที่ห้องต่ออีก เพราะมันเยอะมาก
ทุกอย่างมันดูเคร่งเครียด และรีบเร่งไปเสียหมด และตลอดเวลาที่กำลังเขียนโปรแกรม
ขอบเขตงานก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ลาออก...
ในที่สุดก็ถึงวันที่ผมตัดสินใจลาออก เพื่อมาเลือกเดินหนทาง เป็นเจ้านายตัวเอง หวังไว้ว่า
จะประสบความสำเร็จ มีอิสระทางความคิด มีเวลา มีเงินใช้ มีอนาคตที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่

ปีที่ 1
ผมมาแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะผมไม่เคยทำมาก่อน มีแค่เพียงสิ่งเดียวติดตัว คือความชำนาญ
ในการเขียนโปรแกรม พูดง่ายๆ เลยคือ รู้แค่ในงานตัวเองเท่านั้น แต่งานด้านอื่นผมไม่รู้ ในปีนี้ผมเลย
ทำการรับงานครับ ติดต่อหารับเขียนโปรแกรมให้หน่วยงานต่างๆ ก็พอมีงานเข้ามาบ้าง แต่ไม่มากนัก
และก็โดนเขาโกงค่าจ้าง ไม่จ่ายบ้าง จ่ายช้า (มากๆ ) บ้าง ปรับบ้าง สารพัดไปหมด ในระหว่างปีแรกนี้
ผมก็แบ่งเวลาส่วนเล็กๆ ก่อนนอน ไปสร้างโปรแกรมไว้ เพื่อหวังสักวันมันจะได้ขาย

ปีที่ 2
หลังจากที่ผมได้รับความเจ็บปวดในปีแรก ที่โดนลูกค้าหลายต่อหลายราย โกงผม ไม่จ่ายเงินตามที่ตกลง หรือบางรายก็เพิ่มขอบเขตไปเรื่อยๆ จนผมเหนื่อย ท้อ และในที่สุดก็หมุนเงินไม่ทัน รายได้มาไม่ทันรายจ่าย ผมต้องพบกับคำว่า "เจ้ง" ครั้งแรก ในปีที่ 2 นี่แหละครับ เพราะผมมองไม่เห็นหนทางสร้างรายได้เลย นอกจาก "รับงาน" และต้องยอมหางานเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อให้มีรายได้ เป็นปัญหาดินพอกหางหมู งานเก่าก็ปิดไม่ลง งานใหม่ก็ต้องหามา เพราะไม่งั้น จะไม่มีเงินกินข้าว เหตุก็เกิดจากงานเก่าปิดไม่ได้ เลยไม่ได้เงินงวดสุดท้าย นั่นเอง

ปีที่ 3
ผมเริ่มพบแล้วว่า หนทางที่เดินมา มันผิดแน่ๆ เพราะยิ่งทำงานหนักเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ไม่มีสุขภาพเท่านั้น ผมก็เลยปรับแนวคิดใหม่ รับทำงานให้แต่คิดแบบ รายเดือนครับ ก็รับงานเหมือนเดิมนี่แหละ แต่เก็บเป็นเดือนๆ เช่น 15,000 ต่อเดือน ผมรับดูแลแบบนี้สัก 3 - 4 Project ก็พออยู่ได้ แต่แล้วในที่สุด ผมก็ต้องเจอปัญหาอีกว่า ลูกค้าหมดงบ แต่งานเขาก็ยังไม่เสร็จอีก เพราะเพิ่มขอบเขตไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตอนท้ายของปีนี้ ลูกค้าก็เลิกจ้างผม ด้วยเหตุว่าหมดไปเยอะมาก แต่งานที่ต้องการก็ยังไม่ได้อยู่ดี

ปีที่ 4
ผมเลิกการรับงาน ทุกๆ งาน ไม่เอาอีกแล้ว ผมเข็ดหลาบ จึงได้เริ่มตะลุยขายโปรดักตัวเองแบบเต็มกำลัง หลังจากที่พัฒนามานาน 3 ปี และขายได้บ้าง ไม่ได้บ้าง คราวนี้ผมยอมกัดก้อนเกลือกิน เสี่ยงตายให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย โดยการไม่รับงาน และจะเอารายได้จากการขาย "ผลิตภัณฑ์" ตัวเอง เท่านั้น
ช่วงเวลานี้เรียกว่า ลำบากกว่า 3 ปีแรกอย่างมาก เพราะรายได้มันช่างไม่แน่นอนเหลือเกิน ผมใช้เวลาทุ่มเทอย่างหนักในการพัฒนาโปรแกรมต่างๆ ทำการตลาด โปรโมตขาย แนะนำลูกค้า ในที่สุดช่วงปลายปี ก็เริ่มพอมีรายได้แบบเห็นเป็นรูปธรรมบ้าง

ปีที่ 5
หลังจากที่ได้ลองขาย "ผลิตภัณฑ์" ตัวเองแบบเต็มๆ ทั้งปี ผลปรากฏว่า ผมก็ไม่ตายนี่หว่า รอดมาได้เฉยเลย นั่นก็หมายความว่า เส้นทางนี้แหละ ถูกทางแล้ว เพราะไม่ต้องเหนื่อยใจกับการเก็บเงินงวดสุดท้ายไม่ได้ แก้งานไปเรื่อยๆ ลูกค้าเบี้ยวงาน เสนองาน (แล้วมีค่าหัวคิว) และอีกหลายๆ ปัญหา
ในปีนี้เอง ผมก็เน้นพัฒนาโปรแกรมตัวอื่นๆ เพิ่มมาอีก และตีตลาดตัวเดิม หัดทำโฆษณาในแบบต่างๆ เช่นการลงแบนเนอร์ตามเว็บ การใช้ email ช่วยทำการตลาด และการใช้ facebook ช่วยอีกแรง รายได้ก็เริ่มเป็นกอบเป็นกำขึ้นมาเรื่อยๆ
ช่วงกลางปี ผมก็ได้ออกรถ honda city ตามที่วาดฝันไว้ มีเวลาเป็นของตัวเองอย่างมาก ไม่ต้องจ่ายเวลาให้กับใครอีก และในช่วงท้ายปี รายได้ผมก็รันอัตโนมัติไปได้แล้วครับ

ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นเพียงเรื่องราวแบบย่อๆ ของผม ที่ตัดสินใจออกจากห้องสี่เหลี่ยมใน ออฟฟิศ ทำงาน จากพนักงานทำงานประจำ ตอกบัตรเช้า เย็น มาเดินตามความฝัน ที่เต็มไปด้วยความมืดมัว ความกลัว ความเสี่ยง ผมอยากบอกกับทุกๆ คนว่า

"ในสนามจริงนั้น มันไม่เหมือนกับห้องสี่เหลี่ยม ที่เราเคยอยู่"

ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในวิชาชีพตัวเอง มันไม่ได้ทำให้เราสำเร็จได้ แต่ต้องมีทักษะอื่นๆ มาประกอบกันอีก และต้องอดทน ยืนหยัดสู้ แม้ว่าจะเจ้งไปกี่รอบ ล้มลงกี่ครั้ง สุดท้ายแล้ว หากว่าเราไม่ยอมแพ้ วันหนึ่งไม่นานเกินรอ จะพบหนทางที่เป็นของเรา อย่างแน่นอนครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น